แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด

แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด
การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพนั้น  จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองเป็นอย่างดี  เพื่อให้สามารถเลือกใช้การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการและมีแนวทางให้การรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งการป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ สิ่งสำคัญ  การที่มีทีมสหสาขาวิชาชีพภายในโรงพยาบาลและเครือข่ายที่มีทัศนคติที่ดีและมีแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยที่สอดคล้องในทางทิศเดียวกัน
        หลักการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง  ได้แก่
1.การรักษาระยะเฉียบพลัน
2.การรักษาระยะยาวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ
     3.การฟื้นฟูสภาพ


โรคหลอดเลือดสมอง
ความหมายของโรคหลอดเลือดสมอง ตามที่องค์การอนามัยโลกให้คำจำกัดความไว้ว่าโรคที่มีอาการ
เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ก่อให้เกิดอาการทางระบบประสาทจากสมองบางส่วนหรือสมองทั้งหมด โดย
อาการนั้นเป็นอยู่นานเกิน 24 ชั่วโมง หรือทำให้เสียชีวิต ที่มีสาเหตุมาจากหลอดเลือดสมอง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของ อัมพาต ไว้ว่า อาการที่อวัยวะบางส่วนตาย
เช่น แขนขาไม่สามารถเคลื่อนไหว เป็นต้น ส่วนคำว่า อัมพฤกษ์ หมายถึง อวัยวะบางส่วนอ่อนแรง
โรคหลอดเลือดสมอง(อัมพฤกษ์ – อัมพาต) เป็นโรคที่พบบ่อย และเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ
ของประเทศไทย โรคนี้จัดได้ว่าเป็นโรคที่เป็นเหตุให้เสียชีวิตที่สำคัญ อันดับที่1 ในเพศหญิงและอันดับ 2ในเพศ
ชาย ทั้งยังเป็นสาเหตุของความพิการและทุพลภาพที่สำคัญ นั่นคือเมื่อเป็นโรคหลอดเลือดสมอง อัตราตายจะมี
ร้อยละ 20 ถ้ารอดตายก็จะมีความพิการ ซึ่งต้องอาศัยการช่วยเหลือจากผู้อื่นในการทำกิจวัตรประจำวันไป
ตลอดชีวิตถึงร้อยละ30 อีกร้อยละ50 จะมีความพิการด้านการพูด การสื่อสารกับผู้อื่น สำหรับรายที่โชคดีแทบ
เป็นปกตินั้นจะมีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ปัจจุบันผู้ป่วยโรคนี้มีอยู่ประมาณถึงห้าแสนคนเลยทีเดียว
โรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ – อัมพาต) จัดได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1.โรคหลอดเลือดสมองแตก พบในราวร้อยละ 30 ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด
2. โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน พบในราวร้อยละ 70 ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด
อาการเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง คืออะไรบ้าง
อาการเตือน หมายถึง สัญญาณอันตรายสู่การเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ – อัมพาต)
1. พูดไม่ออก หรือไม่เข้าใจ หรือพูดไม่ชัด ทันทีทันใด
2. แขน - ขา หรือหน้า อ่อนแรง – ชา หรือขยับไม่ได้ ทันทีทันใด
3. ตาข้างใดข้างหนึ่งมัว หรือมองไม่เห็น เห็นภาพซ้อน หรือมีอาการคล้ายม่านบังตาที่
เป็นฉับพลัน
4. ปวดศีรษะรุนแรงฉับพลัน ชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน
5. งุนงง เวียนศีรษะ หรือเสียการทรงตัว เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ ข้างต้น
ถ้าท่านเกิดอาการที่กล่าวไว้นี้ อย่าได้นิ่งนอนใจ ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน ถึงแม้ในบางครั้งอาการที่
เกิดนี้อาจจะดีขึ้นได้เอง แต่การมาพบแพทย์โดยพลันก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
โรคหลอดเลือดสมอง มีอาการอย่างไร
1. อ่อนแรง หรือชาครึ่งซีกของร่างกาย ทันทีทันใด
2. ตามัว หรือมองไม่เห็น ทันทีทันใด โดยเฉพาะถ้าเป็นแบบข้างเดียว
3. พูดตะกุกตะกัก พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก หรือไม่เข้าใจคำพูด ทันทีทันใด
4. ปวดศีรษะรุนแรงฉับพลัน ชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน
5. เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินลำบาก หรือเป็นลม เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ
ข้างต้น
ใครที่มีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองบ้าง
1. ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง
2. ผู้ที่สูบบุหรี่
3. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
4. ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
5. ผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง
และยังมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น ความเครียด โรคอ้วน ดื่มเหล้าเบียร์มากๆ ขาดการ
ออกกำลังกาย เป็นต้น
ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างไร
1. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ คุมน้ำหนัก อย่าให้อ้วน
2. งดสูบบุหรี่
3. ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงของตัวเรา เช่น ความดันโลหิตสูง
เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ถ้าพบว่าเรามีปัจจัยเสี่ยงจะต้องรักษา และพบแพทย์ให้สม่ำเสมอ
4. ถ้าทราบว่าตนเองมีปัจจัยเสี่ยงอยู่แล้ว ต้องรักษาและพบแพทย์ให้สม่ำเสมอ ห้ามหยุด
ยาเองโดยเด็ดขาด
5. ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองแล้ว จะมีโอกาสเป็นซ้ำอีกได้มากกว่าคนปกติ ถ้าเป็น
ชนิดตีบหรืออุดตันแพทย์จะรักษาโดยให้กินยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด (แอสไพริน
ฯลฯ ) ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งมักจะต้องกินยาให้ต่อเนื่องกันและเป็นระยะเวลานานๆจึงไม่ควรหยุดยา
เองโดยเด็ดขาด
เราจะค้นหาและควบคุมปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างไร
ความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง จัดเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัวที่เป็นต้นเหตุสำคัญที่สุด
ของโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความหมายของโรคความดันโลหิตสูง
คือ ภาวะที่มีความดันสูงกว่าปกติ โรคนี้เป็นโรคที่มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อ
โรคของระบบหัวใจและหลอดเลือด สามารถตรวจพบได้จากการวัดค่าความดันโลหิต โดยจะมีค่า
ความดันโลหิต 2 ค่า คือ ค่าความดันซีสโตลิก (Systolic) เป็น
ค่าความดันตัวบน และค่าความดันไดแอสโตลิก (Diastolic) เป็น ค่าความดันตัวล่าง ซึ่งค่าความ
ดันโลหิตของคนเราจะมีความแตกต่างกันได้ตามแต่ละช่วงเวลา
เมื่อจะวัดความดันโลหิต ควรนั่งพักอย่างน้อย 5 – 10 นาที และควรงดสูบบุหรี่ หรืองดดื่มกาแฟ
ก่อนวัดความดันโลหิต ประมาณครึ่งชั่วโมง
ในปัจจุบันค่าความดันโลหิตที่ถือได้ว่าปกติ คือ น้อยกว่า หรือเท่ากับ 120 /80 มิลลิเมตรปรอท
การวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง
1.
ภาวะเริ่มมีความดันโลหิตสูง คือ ผู้ป่วยที่มีค่า
- ความดันซีสโตลิก (ความดันตัวบน) 120 – 139 มิลลิเมตรปรอท
- ความดันไดแอสโตลิก (ความดันตัวล่าง) 80 – 90 มิลลิเมตรปรอท
2. โรคความดันโลหิตสูงขั้นที่ 1 คือ ผู้ป่วยที่มีค่า
- ความดันซีสโตลิก (ความดันตัวบน) 140 – 159 มิลลิเมตรปรอท
- ความดันไดแอสโตลิก(ความดันตัวล่าง) 90 – 99 มิลลิเมตรปรท
3. โรคความดันโลหิตสูงขั้นที่ 2 คือ ผู้ป่วยที่มีค่า
- ความดันซีสโตลิก (ความดันตัวบน) มากกว่าหรือเท่ากับ 160 มิลลิเมตรปรอท
- ความดันไดแอสโตลิก(ความดันตัวล่าง)มากกว่า หรือเท่ากับ100 มิลลิเมตรปรอท
โรคความดันโลหิตสูงมีอาการอย่างไร
เรามักเข้าใจกันว่าจะต้องมีอาการปวดศีรษะ จึงจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่ส่วนใหญ่
แล้ว โรคความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการ คนที่มีอาการปวดศีรษะและมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วยนั้น
มักจะพบว่ามีค่าความดันโลหิตสูงมาก และอาจจะเป็นมานานแล้ว แต่ไม่ได้ตรวจวัดความดันโลหิต
บางรายอาจจะพบว่าตนเองเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้วก็ต่อเมื่อมีอาการของโรคที่เป็นขึ้นจากการมี
ความดันโลหิตสูงมานานแล้ว เช่น โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
สำหรับอาการปวดศีรษะ ซึ่งอาจไม่เฉพาะเจาะจงว่าปวดที่ส่วนใด แต่ที่พบได้บ่อยก็คือ
ปวดที่บริเวณท้ายทอยและขมับ อาการอื่น ๆ ที่พบได้คือ เหนื่อยง่าย ตาพร่ามัว เลือดกำเดาออก
ง่าย ปัสสาวะเป็นเลือด
โรคความดันโลหิตสูงเกิดจากอะไร
โรคความดันโลหิตสูง มักพบในผู้ที่อายุมากขึ้น และไม่ทราบสาเหตุชัดเจน มีเพียงส่วน
น้อย 10 – 15% เท่านั้นที่จะทราบสาเหตุ (ส่วนน้อยนี้ก็คือ รายที่มีความดันโลหิตสูงโดยมีอายุน้อย
กว่า 35 ปี โดยสาเหตุที่อาจพบได้คือ โรคไต โรคหลอดเลือดที่ไตตีบ โรคเนื้องอกของต่อมหมวกไต
โรคครรภ์เป็นพิษ โรคหลอดเลือดแดงอักเสบ หรือใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ เป็นต้น)
เมื่อเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้ว ควรปฏิบัติตัวอย่างไร
1. ปรับเปลี่ยนการใช้พฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวัน
- ควรคุมน้ำหนัก หรือลดน้ำหนักถ้ามีน้ำหนักตัวมากเกินไป โดยคุมชนิดและ
จำนวนของอาหาร ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
- ลดปริมาณเกลือโซเดียมในอาหาร ด้วยการลดการเติมน้ำปลา เกลือ ซีอิ๊ว งด
อาหารสำเร็จรูป หรืออาหารที่ถนอมไว้ด้วยเกลือ เช่น ปลาเค็ม ไข่เค็ม เป็นต้น
2. หยุด หรือลดดื่มเหล้า เบียร์
3. หยุดบุหรี่
4. กินยา และพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรปรับ เปลี่ยน ลด หรือหยุด
ยาเอง
5. ผู้ที่ได้รับยาขับปัสสาวะร่วมด้วย ควรกินส้ม กล้วย เพื่อทดแทนกับ
โปตัสเซียมที่เสียไปในปัสสาวะ
ถ้ามีโรคอื่นๆด้วย เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ควรรักษา และปฏิบัติตาม
คำแนะนำของแพทย์ และควรคุมความดันไม่ให้เกินกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท เพราะถ้าไม่รักษาหรือไม่
ควบคุมให้ดีไว้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบหัวใจและหลอดเลือดมากยิ่งขึ้นโรคแทรกซ้อนเหล่านั้น ได้แก่
สมอง จะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกได้ ทำให้เป็นอัมพฤกษ์
อัมพาตได้มากกว่าคนปกติ
หัวใจ ถ้าเป็นโรคความดันโลหิตสูงมานาน จะหัวใจโต เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ง่าย และมีโอกาส
เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้
ไต จะมีปัญหาทำให้ไตเสื่อม เกิดโรคไตวาย
ตา ถ้าเป็นโรคความดันโลหิตสูงมานาน และเป็นมาก อาจทำให้ตามัวหรือตาบอดได้
“โรคความดันโลหิตสูงเมื่อเป็นแล้ว ควรรักษาและกินยาให้ต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดยาเองเมื่อความ
ดันโลหิตปกติแล้ว”
โรคเบาหวาน
เบาหวานคืออะไร
คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ (ในคนปกติ ก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมี
ระดับน้ำตาลในเลือด 70 – 100 มก./ดล. หลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลจะไม่เกิน 140
มก./ดล.) เพราะร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ตามปกติ (อินสุลิน เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคส
เข้าสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย)
การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
โดยตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ดังนี้
ก.
กรณีเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด(อดอาหาร
หรือไม่ก็ได้) เกิน 200 มก./ดล. เพียงครั้งเดียว
ข.กรณีไม่มีอาการ ตรวจระดับน้ำตาลในเลื อดก่อนกินอาหารเช้าว่า
มากกว่า 126 มก./ดล. หรือไม่ ตรวจ 2 ครั้ง
ค.กรณีสงสัยว่าเป็นโรคเบาหวาน แต่ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนกิน
อาหารเช้าไม่ถึง 126 มก./ดล.ให้เจาะเลือดก่อนแล้วดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม ถ้า 2 ชั่วโมงหลังดื่มแล้วระดับ
น้ำตาลยังมากกว่า 200 มก./ดล. จัดเป็นเบาหวาน แต่ถ้าน้อยกว่า 140 มก./ดล. ถือว่าปกติ แต่ถ้า
บกพร่องต่อการควบคุมน้ำตาล ค่าจะอยู่ระหว่าง 140 – 199 มก./ดล.
ง.
ระดับน้ำตาล 100 – 125 มก./ดล. ถือว่าอาจมีความผิดปกติ กรณีที่มี
ปัจจัยเสี่ยงสูง สงสัยเบาหวานให้ตรวจดูตามข้อ ค.
สาเหตุและโอกาสที่ทำให้เป็นเบาหวาน
- กรรมพันธุ์
- คนอ้วน
- คนสูงอายุ
- ยาบางชนิด
- ตั้งครรภ์
- ติดเชื้อไวรัสบางชนิด
- ตับอ่อนได้รับความกระทบกระเทือน
โรคเบาหวานมีกี่ชนิด
โรคเบาหวาน เกิดขึ้นได้กับผู้คนทุกเพศทุกวัยโดยไม่มีข้อยกเว้น จัดเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
1.
เบาหวานประเภทที่ 1
- อายุน้อยกว่า 40 ปี
- ผอม
- อาการรุนแรง
- ต้องใช้ยาอินสุลินฉีด
- ตับอ่อนผลิตอินสุลินได้น้อย
2.
เบาหวานประเภทที่ 2
- อายุมากกว่า 40 ปี
- อ้วน
- ตับอ่อนผลิตอินสุลินได้บ้าง หรือเป็นปกติแต่ประสิทธิภาพลดลง
- อาจมีอาการเล็กน้อย รุนแรง หรือไม่มีอาการเลย
- ถ้าควบคุมอาหารร่วมกับออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องใช้ยา (ยกเว้นบางรายที่ยัง
คุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้)
โรคเบาหวานมีอาการอย่างไร
มีตั้งแต่ไม่มีอาการแสดงเลย ไปจนถึงแสดงอาการออกมาชัดเจน ดังนี้
- ปัสสาวะบ่อย และจำนวนมาก เพราะมีการกรองน้ำตาลในเลือดที่สูงมากให้
ออกมาทางปัสสาวะโดยไต
- คอแห้ง กระหายน้ำ และดื่มน้ำมากเพราะร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ น้ำหนักลด
ผอมลง เพราะร่างกายนำเอาโปรตีนและไขมันที่เก็บสะสมไว้ในเนื้อเยื่อมาใช้เป็น
พลังงาน
- หิวบ่อย และกินจุเพราะร่างกายขาดพลังงาน
โรคเบาหวานทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอะไรบ้าง
ระดับน้ำตาลที่สูงกว่าปกติเป็นเวลานาน ๆ นั้นทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนเรื้อรังอีกมากมายได้
ดังนี้
โรคแทรกซ้อนของตา
-
เบาหวานขึ้นตา ก็คือเส้นเลือดในจอรับภาพของตาโป่งพอง หรือแตก
- ต้อกระจก เลนส์ของลูกตาขุ่นมัวลง ทำให้การมองเห็นลดลงหรือมองไม่เห็นเลย
โรคแทรกซ้อนของไต
ตรวจพบโปรตีนแอลบูมินในปัสสาวะ หากมีอาการมากขึ้นสุดท้ายก็จะเข้าสู่ภาวะไต
พิการหรือไตวายเรื้อรัง
โรคแทรกซ้อนของระบบประสาท มี 3 กลุ่ม ดังนี้
1. ประสาทส่วนปลายเสื่อม จึงเกิดบาดแผลที่เท้าได้ง่าย ซึ่งยากแก่การรักษา
บาดแผลให้ดีขึ้น
2. ความผิดปกติของเส้นประสาท เส้นใดเส้นหนึ่ง
3. ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม
โรคแทรกซ้อนของหัวใจและหลอดเลือดแดง
อาจเกิดภาวะหลอดเลือดตีบแข็ง ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ
แนวทางการรักษาและปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน มี 4 วิธี ดังนี้
1. ควบคุมอาหาร
โดยลดจำนวน เปลี่ยนสัดส่วน หรือเปลี่ยนชนิดของอาหาร จะช่วยร่างกายให้ดูดซับน้ำตาลได้ช้าลง
2.
ออกกำลังกาย
ช่วยให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากขึ้น
3.
ให้ยากิน
เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินสุลินมากขึ้น ช่วยให้น้ำตาลกลูโคสถูกใช้ออกไปมากขึ้น
4. ให้ยาฉีดอินสุลิน
เพื่อทดแทนอินสุลินที่ขาด ช่วยให้น้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์และถูกนำไปใช้ได้มากขึ้น
ไขมันคลอเรสเตอรอลสูง
คลอเรสเตอรอล เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน
(เมตาบอริสม) รวมถึงฮอร์โมนและการสร้างน้ำดีเพื่อใช้ช่วยย่อยไขมันและดูดซึมเป็นอาหารและยังช่วยร่างกาย
ใช้วิตามินดี ไขมันคลอเรสเตอรอลมีสองชนิด Hign density lipoprotein( HDL)เป็นคลอเรสเตอรอลชนิดดี
และ Low density lipoprotein(LDL)เป็นคลอเรสเตอรอลชนิดไม่ดี ไขมันคลอเรสเตอรอลเป็นส่วนหนึ่งของ
เซลล์ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ทุกชนิด เราไม่จำเป็นต้องกินอาหารที่มีไขมันคลอเรสเตอรอลสูง เพราะร่างกาย
สามารถสร้างไขมันคลอเรสเตอรอลเองพอที่ตับ และเซลล์ต่างๆของร่างกาย นำส่งไปทั่วโดย Lipoproteins
ซึ่งยังนำส่งไขมันไตรกลีเซอไรด์ด้วย
การขนถ่ายไขมันคลอเรสเตอรอล มีอยู่สองทางที่สำคัญ คือ
1.
LDL เป็นผู้ขนถ่ายคลอเรสเตอรอลส่วนมาก ไปยังเซลล์ และมันยังสะสมในผนังหลอดเลือด ทำ
ให้หลอดเลือดแคบและอุดตัน ในที่สุดก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหลอดเลือดสมอง
2.
HDL ช่วยกำจัดคลอเรสเตอรอลส่วนเกิน ออกจากเซลล์ และผนังหลอดเลือดแดง
ระดับไขมันคลอเรสเตอรอลที่ปลอดภัยคือเท่าไหร่
สาธารณสุขแนะว่าระดับไขมันคลอเรสเตอรอลไม่ควรสูงกว่า 200 มก/มล ในรายที่ไม่มีความเสี่ยงอื่นๆ
แต่รายที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือด หรือมีโรคหัวใจก่อนแล้ว แนะว่าระดับ LDL ไม่ควรเกิน 100 มก/มล.
อาหารที่มีคลอเรสเตอรอล
หลักๆมาจากผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อ ไข่ แต่ท่านไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงไข่และอาหารทะเลถ้ามี
ระดับไขมันคลอเรสเตอรอลปกติ แม้ว่าอาหารทะเลพวกกุ้งจะมีไขมันคลอเรสเตอรอลสูง แต่ก็เป็นไขมันชนิดไม่
อิ่มตัวและยังมีโอเมก้า3 จึงเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีในปริมาณที่เหมาะสม สำคัญที่เราควรหลีกเลี่ยงการปรุง
แบบทอด
หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวจากสัตว์ เช่น ไส้กรอก กวนเชียง และอาหารจำพวก คุกกี้ เค้ก เนย และชีส
ควรเพิ่มผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชในแต่ละวัน เลือกดื่มนมไขมันต่ำ โยเกิต ที่เสริมแคลเซี่ยม ถั่ว และควรกินอาหาร
จากปลา สัปดาห์ละสองครั้งเป็นอย่างน้อย ไม่กินชีสหรือไอศครีมเกินสัปดาห์ละสองครั้ง
ไขมันไตรกลีเซอไรด์ มีผลต่อหัวใจคล้ายกันกับไขมันคลอเรสเตอรอล การควบคุมอาหารจะช่วยให้
ไขมันตัวใดตัวหนึ่งลดลง หรือลดทั้งสองตัวก็ได้
หยุด หรือลดการดื่มเหล้า เบียร์ ไม่เกินหนึ่งหรือสองดื่มต่อวัน จะลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ ถ้าหยุด
สูบบุหรี่ด้วยจะลดความสามารถของ LDLที่จะทำร้ายหลอดเลือด ถ้าออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยครึ่ง
ชั่วโมง เดินเร็วทุกวันจะเพิ่ม HDL ช่วยลด LDLและไขมันไตรกลีเซอไรด์
บางครั้ง แพทย์อาจจำเป็นต้องให้ยาช่วยลด LDL โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติกรรมพันธุ์เป็นเหตุให้ระดับ
ไขมันคลอเรสเตอรอลสูง ซึ่งทำให้ลำพังเฉพาะแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการควบคุมอาหารอาจไม่
เพียงพอ จึงต้องให้ยาร่วมไปด้วย
การสืบค้นโรค
1. ตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุต่างๆ เช่น ซีด เกล็ดเลือดผิดปกติ เม็ดเลือดผิดปกติ
น้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือดชนิดต่างๆ การทำงานของตับ ไต
2. ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ดูการเต้นหัวใจ หัวใจโต หัวใจขาดเลือด
3. ตรวจคลื่นความถี่สูง เช่น ตรวจหลอดเลือดที่คอ ตรวจหลอดเลือดในสมอง ตรวจ
หัวใจ(ECHOCARDIOGRAM)ดูการไหลเวียนเลือด ดูก้อนเลือดผิดปกติในหัวใจ ดูการบีบตัวหัวใจและลิ้นหัวใจ
4. ตรวจทางรังสี เช่น เอ็กซเรย์ปอด คอมพิวเตอร์สมอง(CT) ตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(MRI) การฉีด
สารทึบแสงเพื่อตรวจดูเส้นเลือด(ANGIOGRAM)
การบำบัดรักษาโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ – อัมพาต)
ผลการรักษาโรคอัมพฤกษ์ – อัมพาตขึ้นอยู่กับชนิด ความรุนแรง และระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการ
เฉพาะอย่างยิ่งถ้าพาผู้ป่วยมารับการรักษาเร็วที่สุดเท่าไหร่ ก็จะลดความพิการและอัตราตายจะลดลงไป
มากเท่านั้น แนวทางกว้างๆในการบำบัดรักษา มีดังนี้
- รักษาทางยา จะทำผ่าตัดในบางราย และรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู
- ควบคุม และรักษาปัจจัยเสี่ยงและโรคแทรกซ้อน
- โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยมักต้องกินยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันการ
กลับเป็นซ้ำอีก
เรียบเรียงโดย นภัส แก้ววิเชียร
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
น้ำมันมะพร้าว : ผู้ร้ายต่อสุขภาพจริงหรือไม่ ?
ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา
ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย
น้ำมันมะพร้าว จัดว่าเป็นน้ำมันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีประวัติการใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นยารักษาโรค
ตามตำราทางอายุรเวทของอินเดียมากว่า 4000 ปี และเป็นเวลายาวนานมาแล้วที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกใน
เขตร้อน และกึ่งร้อนที่มีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่ในพื้นที่ต่างได้นำน้ำมันมะพร้าวมาใช้เป็นอาหาร เป็นยา และเป็น
เครื่องสำอาง โดยที่ไม่มีรายงานอันตรายสุขภาพ โดยเฉพาะโรคหัวใจ หรือ อัมพาต แต่เมื่อ 40 ปีที่ผ่านมานี้
สมาคมถั่วเหลืองอเมริกันได้กล่าวหาว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคหัวใจได้
ทราบกันดีว่าโรคอัมพาตเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของ
การเสียชีวิตในเพศหญิง และอันดับสองในเพศชาย โดยร้อยละ 70 ของผู้ป่วยจะมีปัญหาด้านการพูด และ
การสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ อีกร้อยละ 30 ของผู้ที่เป็นอัมพาตจะมีความพิการ ที่ต้องอาศัยการดูแลช่วยเหลือ
จากผู้อื่นไปตลอดชีวิต แพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่จึงกล่าวว่า อัมพาต เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว จะรักษาไม่
หาย และถึงวันเสียชีวิตเร็วกว่าคนอื่นทั่วไป การให้ยารักษาผู้ที่เป็นอัมพาต ก็เพียงแต่ช่วยประวิงเวลา
เสียชีวิตให้ช้าลงเท่านั้นเองดังนั้นการป้องกันและรักษาอัมพาตจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ โดยที่น้ำมัน
มะพร้าวเป็นอาหารที่หาได้ง่ายในประเทศไทยของเรา และปรากฏผลงานวิจัยของนักวิจัยหลายท่านที่
เกี่ยวข้องกับน้ำมันมะพร้าว พบว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถป้องกันอัมพาต และน่าจะมีส่วนช่วยรักษาอัมพาต
ได้อีกด้วย มิใช่ผู้ร้ายที่ทำลายสุขภาพดังที่เชื่อกันมา ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป
น้ำมันมะพร้าวป้องกันอัมพาตได้อย่างไร
น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันชนิดเดียวในโลกที่สามารถป้องกันอัมพาตได้ ทั้งนี้เพราะคุณสมบัติอัน
มหัศจรรย์ที่มีอยู่ในน้ำมันมะพร้าว (โฉมเฉลา, 2552) ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด อัน
นำไปสู่การเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดอัมพาต รวมทั้งโรคหัวใจด้วย
คุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวที่ช่วยป้องกันอัมพาตได้ มีดังนี้
1. น้ำมันมะพร้าวปลอดภัยจากอันตรายของอนุมูลอิสระ
อนุมูลอิสระ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดบาดแผลในหลอดเลือดแดง นำไปสู่การแข็งตัวของหลอดเลือดแดง
และการเป็นอัมพาต อนุมูลอิสระเกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่ มลพิษในอากาศ อาหารและจากอีกหลากหลาย
สาเหตุ ซึ่งไปทำลายเนื้อเยื่อของทุกอวัยวะที่พวกอนุมูลอิสระไปถึง ปัจจุบันมีข้อสรุปเกี่ยวกับอาหารที่
ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระไว้ว่า อาหารที่เป็นอันตรายที่สุดต่อหลอดเลือดแดงก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวที่ผ่านการเติม
ออกซิเจน ที่มักพบในน้ำมันไม่อิ่มตัวที่ผ่านกระบวนการ RBD (refined, bleached, deodorized) ซึ่ง
บรรดาไขมันเหล่านี้เองที่เป็นตัวเพิ่มพูนการแข็งตัวของหลอดเลือด
ปกติร่างกายของเรามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ(แอนตีออกซิแดนต์) ที่ได้จากอาหารในธรรมชาติ เช่น
ผักผลไม้ แต่สารตัวนี้ส่วนหนึ่งถูกทำลายได้โดยไขมันไม่อิ่มตัว อีกทั้งการบริโภคผักผลไม้ของเราอาจไม่
น้ำมันมะพร้าวจึงปลอดภัยจากอันตรายของอนุมูลอิสระเนื่องจาก
ปลอดจากอนุมูลอิสระ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวถึงร้อยละ92 และยังมีสารแอนตีออกซิ
แดนต์ ได้แก่ วิตามินอี (โทโคเฟอรอล และโทโคไทรอีนอล) สารฟีนอลลิก และไฟโตสเตรอล จึงไม่ก่อให้เกิด
การเติมออกซิเจนอันจะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
ช่วยเติมแอนตีออกซิแดนต์ที่ได้ถูกทำลายในร่างกาย น้ำมันมะพร้าวนอกจากจะปราศจากอนุมูลอิสระแล้ว
สารแอนตีออกซิแดนต์ที่พบในน้ำมันมะพร้าวยังช่วยเติมแอนตีออกซิแดนต์ให้กับสารอาหารบางชนิด เช่น
น้ำมันไม่อิ่มตัวที่เราบริโภคเข้าไปได้อีกด้วย
2. น้ำมันมะพร้าวปลอดภัยจากอันตรายของไขมันทรานส์
การนำอาหารไปทอดน้ำมันท่วม (deep fry) ในอุณหภูมิสูงโดยใช้น้ำมันพืชทั่วๆไป เช่น น้ำมันถั่ว
เหลือง น้ำมันทานตะวัน น้ำมันคำฝอย ซึ่งเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัว อาหารทอดนั้นๆจะมีไขมันทรานส์ซึ่งไม่ใช่
ไขมันธรรมชาติและเป็นอันตรายต่อชีวิตที่ทำให้เกิดบาดแผลในหลอดเลือด นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว
และการเป็นอัมพาตได้ แต่น้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นน้ำมันอิ่มตัว แม้จะใช้น้ำมันมะพร้าวทอดอาหารแบบน้ำมัน
ท่วมในอุณหภูมิสูงก็จะไม่ถูกเติมไฮโดรเจน จึงไม่ก่อให้เกิดไขมันทรานส์ (Judd, 1994)
หากจะนำน้ำมันไม่อิ่มตัวไปทำให้เป็น “ผลิตภัณฑ์อาหาร” ต้องผ่านกรรมวิธีปรับเปลี่ยนโครงสร้างของ
น้ำมันไม่อิ่มตัวนั้นด้วยการเติมไฮโดรเจนเสียก่อน เพื่อที่จะ (1) เปลี่ยนน้ำมันไม่อิ่มตัวให้เป็นน้ำมันอิ่มตัว
อาหารที่ได้จะไม่เหม็นหืน และไม่เกิดอนุมูลอิสระ แสดงให้เห็นได้ว่า น้ำมันไม่อิ่มตัว มีความไม่ดีอยู่ในโครงสร้าง
และ (2) เพื่อให้ผลิตภัณฑ์อาหารเป็นของแข็ง สะดวกต่อการหยิบจับ และไม่เหนียวเหนอะหนะ แต่บางครั้งของ
การเติมไฮโดรเจนก็เกิดเพียงบางส่วน (partial hydrogenation) คือแทนที่จะเกิดเป็นไขมันอิ่มตัว แต่กลับเกิด
เป็น
ไขมันทรานส์ จากการเปลี่ยนตำแหน่งของธาตุไฮโดรเจนตัวหนึ่ง จึงไปอยู่คนละข้าง(ในตำแหน่งทรานส์)
ก่อให้เกิดบาดแผลในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุเบื้องต้นของอัมพาต
3. น้ำมันมะพร้าวช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบในหลอดเลือด
น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริกอยู่สูงถึงร้อยละ 50 จึงสามารถฆ่าเชื้อโรคทุกชนิด รวมทั้งเชื้อโรคที่เป็น
สาเหตุของการเกิดบาดแผลในหลอดเลือด ซึ่งนำไปสู่การเกิดหลอดเลือดแดงแข็งตัว (Enig, 1999)
แต่การใช้น้ำมันมะพร้าวเพียงอย่างเดียว อาจไม่ได้ช่วยป้องกันโรคอัมพาตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึง
ควรเลิกใช้น้ำมันไม่อิ่มตัวทุกชนิดด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระ และไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นตัวการให้
เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว
4. น้ำมันมะพร้าวช่วยลดอัตราการเกิดอัมพาต
มีข่าวใหญ่ชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นเมื่อ 24 ธันวาคม 2540 บรรดาสื่อมวลชนทั่วโลกประกาศก้องว่า ไขมัน
อิ่มตัวลดอัตราการเกิดโรคอัมพาตได้ อันเป็นผลจากการตีพิมพ์รายงานผลการวิจัยซึ่งใช้เวลาศึกษานานถึง
20 ปี ของ Dr. Mathew Gillman และคณะ ที่คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ลงพิมพ์ในวารสาร
ทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียง คือ Journal of the American Medical Association (Gillman, et al.
1997) การศึกษานี้ใช้ผู้ชายมีจำนวนถึง 832 คน อายุ 45-65 ปี ไม่มีอาการของโรคหัวใจมาก่อน ผลของ
การศึกษาครั้งนี้ได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้โต้แย้งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพซึ่งได้ใช้เวลาหลายปีโน้ม
น้าวให้ประชาชนลดการบริโภคไขมันอิ่มตัว แต่นักวิจัยที่คุ้นเคยกับเรื่องการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน (fat
metabolism) และโรคหัวใจ ต่างมิได้แปลกใจกับผลการศึกษานี้เลย
การศึกษาชิ้นนี้ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในตลอดช่วงระยะเวลา 20 ปีของการติดตามผลชาย
กลางคนที่เข้าร่วมการศึกษาอันลือลั่นเกี่ยวกับโรคหัวใจ (Flamingham Heart Study) ซึ่งทำขึ้นเพื่อจะ
พิจารณาผลความเกี่ยวพันกันระหว่างการเกิดอัมพาตกับการบริโภคไขมัน และประเภทของไขมัน ผล
การศึกษานี้ เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับผลการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นของ McGee, et al. (1985) ที่พบว่า
การบริโภคไขมันอิ่มตัวเกี่ยวข้องกับการลดอัตราการเกิดอัมพาต และแสดงให้เห็นว่า การเกิดอัมพาตใน
อัตราที่สูงนั้นเกี่ยวข้องกับการบริโภคไขมันไม่อิ่มตัว
ยังพบอีกว่า น้ำมันไม่อิ่มตัวมีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ (รวมทั้งอัมพาตด้วย) มากกว่าน้ำมันอิ่มตัว จึง
เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าน้ำมันที่ปลอดภัยที่สุดต่อสุขภาพ (คือน้ำมันมะพร้าว) ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร้ายต่อ
สุขภาพมากที่สุด ส่วนน้ำมันที่อันตรายต่อสุขภาพที่สุด (คือน้ำมันไม่อิ่มตัว) กลับได้รับการยกย่องและ
ส่งเสริมว่าเป็นไขมันที่ดีต่อหัวใจ (Heart healthy)
น้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาอาการอัมพาต
จากผลงานวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวของนักวิจัยหลายคน พบว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาอัมพาตได้
โดยสรุปดังนี้
1. ช่วยรักษาอัมพาตโดยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (แอนตีออกซิแดนต์)
น้ำมันมะพร้าวมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระได้แก่ (1) วิตามินอีในรูปของ
โทโคเฟรอล และโทโคไทรอีนอล (2) สารฟีนอล และ (3) สารไฟโตสเตอรอล ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอนุมูล
อิสระ (โฉมเฉลา, 2552) และยังมีการศึกษาพบว่าแอนตีออกซิแดนต์ช่วยรักษาอัมพาตได้ ดังผลการทดลอง
ของ Ibrahim Lutfi ที่ได้รายงานผลการศึกษาในคนจำนวน 1,000 คน ซึ่งมีรอยบาดแผลสีขาว(white
matter lesion) ที่ทำร้ายสมองจนทำให้เกิดอัมพาต พบว่าห้าในเจ็ดส่วนของผู้ที่ได้รับโทโคไทรอีนอลจาก
น้ำมันปาล์มแสดงอาการที่ดีขึ้น อีกหนึ่งในสามส่วนที่เหลือ ซึ่งได้รับยาหลอกแสดงอาการที่ดีขึ้น เขาจึง
สรุปว่า เป็นที่หวังได้ว่าหากนำโทโคไทรอีนอลมาใช้อย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ จะส่งผลดีต่อการรักษา
โรคประสาท และป้องกันโรคหลอดเลือด (Looi, 2010) สำหรับน้ำมันมะพร้าวซึ่งมีสารแอนตีออกซิแดนต์
รวมทั้งสารโทโคไทรอีนอล จึงน่าจะช่วยรักษาอัมพาตได้
2. ลดอัตราตายจากอัมพาต
McGee, et al. (1985) ได้ศึกษาชายชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในรัฐฮาวายอิ สหรัฐอเมริกา พบว่า การ
บริโภคน้ำมันอิ่มตัว มีผลต่อการลดอัตราตายจากอัมพาต หลังจากที่ได้ปรับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆแล้ว ซึ่ง
การศึกษาในทำนองนี้มักจะถูกละเลยในช่วงนั้น (ราวปีค.ศ. 1985) เนื่องจากได้ผลการศึกษาที่ขัดแย้งกับ
ความเชื่อที่ว่า น้ำมันอิ่มตัวไปส่งเสริมการเกิดอัมพาต
ถึงแม้ว่าผู้วิจัยจะไม่ได้ระบุว่า น้ำมันอิ่มตัวที่ได้ใช้ทดลองในงานวิจัยชิ้นนี้เป็นน้ำมันอะไร แต่ในโลกนี้
น้ำมันอิ่มตัวที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางอาหารและยา นั้นมีอยู่เพียงสองอย่าง คือน้ำมันมะพร้าว ซึ่งมีกรด
ไขมันอิ่มตัวร้อยละ 92 และน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวอยู่เพียงร้อยละ 51 จึงเป็นที่เชื่อได้ว่าน้ำมัน
อิ่มตัวที่ McGee นำไปทดลองนั้นเป็นน้ำมันมะพร้าวอย่างแน่นอนทีเดียว
3. กรณีศึกษาที่น่าสนใจ
นาย Jeff Keto (http://njkmarketing.com) เป็นสื่อมวลชนที่เป็นอัมพาตครึ่งซีกด้านขวาตั้งแต่
มีนาคม 2550 เมื่อเขาได้ทราบข่าวที่ว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ จึงไปปรึกษาแพทย์ที่รักษา
เริ่มแรกแพทย์ผู้นั้นต่อต้านความคิดแนวนี้ของเขาเพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันอิ่มตัว แต่ Jeff ก็แย้งว่า
น้ำมันมะพร้าวแตกต่างจากน้ำมันอิ่มตัวอื่น ๆ เพราะน้ำมันมะพร้าวประกอบด้วยกรดไขมันขนาดกลาง ซึ่ง
ให้ผลดีต่อสุขภาพ เขาจึงได้นำข้อมูลผลการศึกษาของผู้คนที่ใช้น้ำมันมะพร้าวไปให้แพทย์ดู ในที่สุดแพทย์จึง
อนุญาตให้เขาทดลองใช้น้ำมันมะพร้าวรักษาเป็นเวลาหนึ่งเดือน
Jeff ได้ทดลองใส่น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ ในน้ำปั่นกล้วย-นม-และโปรตีน เปลี่ยนน้ำมันสลัดจาก
น้ำมันมะกอกมาเป็นน้ำมันมะพร้าวราดผักสลัด สำหรับการออกกำลังกายก็ทำไปตามปกติเช่นเดียวกับที่
เคยทำมาก่อนจะใช้น้ำมันมะพร้าว เมื่อเขาได้ตรวจเลือดอีกครั้งก็พบว่าไขมันตัวดี(HDL) เพิ่มขึ้นจาก 32
เป็น 40 mg/dL ในขณะที่ไขมันตัวร้าย (LDL) ลดลงจาก 166 เหลือเพียง 100 mg/dL ไตรกลีเซอไรด์ก็
ลดลงจาก 200 เหลือ 140 mg/dL น้ำหนักก็ลดลงอีก 10 ปอนด์ อาการของอัมพาตก็ค่อย ๆ หายไป
ถึงแม้ว่าจะยังไม่หายขาดก็ตาม
เอกสารอ้างอิง และบรรณานุกรม
โฉมเฉลา, ณรงค์. 2552. มหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว ฉบับปรับปรุง. เอกสารวิชาการฉบับที่ 4/2552. ชมรม
อนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวฯ กรุงเทพฯ
Enig, M.G. 1999. Coconut: In Support of Good Health in the 21st Century. Paper presented at the 36th Meeting of APCC.
Enig, M.G. 2000. Know Your Fats: The Complete Primer for Understanding the Nutrition of Fats, Oils and Cholesterol. Bethesda Press, Bethesda, MD, USA.
Enig, M.G.; and Fallon, S. 1998. The Oiling of America. Nexus Magazine, Part 1, p. 7.
Felton, C.V.; Crook, D.; Davies, M.J.; and Oliver, M.F. 1994. Dietary polyunsaturated fatty acids and composition of human aortic plaques. Lancet 344:1195-6.
Fife, B. 2000. The Healing Miracles of Coconut Oil. Piccadilly Books, Colorado Spring, CO, USA.
Fife, B. 2005. Coconut Cures. Piccadilly Books, Colorado Spring, CO., USA
Gillman, M.W.; Cupples, L.A.; Millen, B.E.; Ellison, R.C.; and Wolf, P.A. 1997. Inverse association of dietary fat with development of ischemic stroke in men. JAMA 278: 2,185-6.
Judd, J.T.; Clevidence, B.A.; Muesing, R.A.; Wittes, J.; Sunkin, M.E.; and Podczasy, J.J. 1994. Dietary trans fatty acids: Effects on plasma lipids and lipoproteins of healthy men and women. Amer. J. Clin. Nutr. 59: 861-8.
Kimura, N. 1985. Changing patterns of coronary heart disease: Stroke, and nutrient intake
in Japan. Prev. Med. 12: 222-7.
Lindeberg, S. and Lundh, B. 1993. Apparent absence of stroke and ischaemic heart disease in a traditional Melanesian island: A clinical study in Kitava. J. Internal Med. 233: 269-75.
Looi, S.C. 2010. Palm oil, the new cure? <http://mypalmoil.blogspot.com./2010/08/palm-oil-new-cure.html>.
McGee, D.; Reed, D.; Stemmerman, G.; Rhoads, G.; Yano, K.; and Feinleib, M. 1985. The relationship of dietary fat with development of ischemic stroke in man. Int. J. Epidemiol. 14: 97-105.
Mercola, J. 2003. The Truth about Coconut Oil: Why It Got a Bad Rep When It’s Actually Good. <www.mercola.com/2003/sep/13/coconut_oil.htm>.
Mensink, R.P.; and Katan, M.B. 1990. Effect of dietary trans fatty acids on high-density and low-density lipoprotein cholesterol levels in healthy subjects. New Engl. J. Med. 323: 439-45.
Misch, K.A.1988. Ischaemic heart disease in urbanized Papua New Guinea. An autopsy study. Cardiology 75: 71-5.
Peat, R. 2005. Coconut Oil: You Want a Food Loaded with Real Health Benefits? You Want Coconut Oil. www.mercola.com/2001/mar/24/coconut_oil.htm
เรียบเรียงโดย นภัส แก้ววิเชียร
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ซันชี : สมุนไพรจีน สำหรับโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์-อัมพาต)
นพ. สมเกียรติ ศรไพศาล
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
สมุนไพรจีนกลุ่มยาห้ามเลือด
กลุ่มยาห้ามเลือด เป็นยาที่สามารถใช้รักษาอาการเลือดออกทุกชนิด ถ้ายาใดมีสรรพคุณดังกล่าว ก็จัดได้
ว่าอยู่ในยากลุ่มนี้ โดยที่ยาแต่ละตัวก็ยังมีสรรพคุณอื่นปะปนอยู่ด้วย
สรรพคุณของยากลุ่มนี้ คือ ช่วยเร่งการจับตัวของเลือดให้เร็วขึ้น หรือลดเวลาเลือดออกให้สั้นลง
ตัวยาในยากลุ่มนี้มีหลายชนิด แต่ละตัวมีสรรพคุณอื่นๆด้วยจึง แบ่งย่อยเป็น 4 กลุ่มคือ
กลุ่มที่หนึ่ง ยาสมานห้ามเลือด (โซเลี่ยนจื๋อเสวี่ยเย่า)
กลุ่มที่สอง ยาทำให้เลือดเย็นห้ามเลือด (เหลียงเสวี่ยจื๋อเสวี่ยเย่า)
กลุ่มที่สาม ยาสลายเลือดคั่งห้ามเลือด (ฮั่วอวีจื๋อเสวี่ยเย่า)
กลุ่มที่สี่ ยาอุ่นเส้นลมปราณห้ามเลือด (เวินจิงจื๋อเสวี่ยเย่า)
การที่แบ่งเป็นสี่กลุ่ม ย่อมสะท้อนถึงการ “เปี้ยนเจิ้ง” (หมายถึงการวินิจฉัยในทางการแพทย์แผน
จีน ) ว่า สาเหตุของเลือดออกมาจากหลายสาเหตุ จึงได้การรักษาออกเป็นกลุ่มย่อยตามสาเหตุ หลักการ
รักษาคือ “เปียว” หมายถึง อาการของโรคที่แสดงออกมาภายนอก เช่น มีไข้ ปวด กับ “เปิ่น” หมายถึง
อาการแสดงของโรคที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย เช่น ปอดร้อนชื้นอาจกล่าวได้ว่า “เปียว” คือกลุ่มอาการหรือ
ชนิดของโรค “เปิ่น” คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหรือทำให้เกิดกลุ่มอาการ
ยาในกลุ่มสมานห้ามเลือดในกลุ่มที่หนึ่ง (โซเลี่ยน) เป็นการรักษา “เปียว” คำว่า “โซเลี่ยน”
แปลว่า สมาน หมายถึง ทำให้หยุด เช่น เลือดร้อนทำให้เลือดออก ยาในกลุ่ม “โซเลี่ยน” ทำได้เพียงห้าม
เลือด หรือรักษา “เปียว”ตามหลักการต้องรีบให้การรักษา “เปียว” ก่อน เมื่อเลือดหยุดแล้วค่อยรักษา
“เปิ่น” การรักษา “เปิ่น” รักษาตามการเปี้ยนเจิ้ง
ส่วนยาในกลุ่มที่สอง สาม และสี่ทำให้เลือดเย็น, กลุ่มสลายเลือดคั่ง และกลุ่มอุ่นเส้นลมปราณ
เป็นการรักษาทั้ง “เปียว” และ “เปิ่น” กรณีกลุ่มทำให้เลือดเย็น เป็นการรักษาทั้ง “เปียว” และ “เปิ่น”
เพราะเลือดร้อนจะทำให้เลือดออก เมื่อเลือดเย็นแล้วเลือดจึงจะหยุดได้
ในการรักษาอาการเลือดออก นอกจากต้องคำนึงถึงการห้ามเลือด ยังต้องทราบสาเหตุ ตำแหน่ง
และกลไกที่ทำให้เลือดออกด้วย เช่นมีอาการอาเจียนเป็นเลือด, ขากเป็นเลือด, ไอเป็นเลือดหรือเลือด
กำเดาไหล ลักษณะเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับปอด โดยมากหมายถึงเส้นเลือดที่ปอดแตก
เลือดออกที่ปอด สาเหตุอาจเกิดจากตัวปอดเองทำให้เลือดออก ถ้าดูความสัมพันธ์ระหว่างไม้กับ
ทอง ปกติทองข่มไม้ ถ้าไม้แกร่งสามารถข่มกลับทอง ลักษณะนี้ได้แก่ไฟตับเผาผลาญของเหลว หรือมี
ความร้อนขึ้นไปเผาผลาญ เส้นลมปราณหรือเส้นเลือดที่ปอด ทำให้เลือดออก
หรืออาจเกิดจากอินของตับและไตพร่อง แล้วเกิดความร้อนทำให้เลือดออก เช่น ในฤดูใบไม้ร่วง
มีความแห้ง ทำให้อินพร่อง เกิดความร้อน มีเลือดกำเดาออก โดยปกติปอดกับไตมีความสัมพันธ์
เกี่ยวข้องกับการกำกับน้ำ โดยปอดเป็นแหล่งน้ำตอนบน ไตเป็นแหล่งน้ำตอนล่าง ถ้าอินไตพร่อง หรือ
น้ำของไตพร่อง จะเกิดเป็นความร้อนขึ้นมาเป็นเหตุให้เลือดออก
อาเจียนเป็นเลือด เกี่ยวข้องกับเส้นลมปราณกระเพาะอาหาร เลือดอาจจะออกที่กระเพาะอาหาร
หรืออาจเกิดจากตับไปกระทำต่อกระเพาะอาหาร และหมายรวมถึงหลอดอาหารซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของ
กระเพาะอาหารด้วย เช่นกรณีตับแข็ง ความดันในเส้นเลือดดำในตับเพิ่มสูง เป็นเหตุให้เลือดออก เมื่อมี
โรคของตับเกิดขึ้น สามารถไปมีผลต่อม้าม ควรต้องเสริมบำรุงม้ามให้แข็งแรงก่อน รู้ว่าโรคจะเกิดก็ต้อง
ป้องกันไว้ก่อน ม้ามกับกระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกัน เมื่อเป็นโรคตับจึงต้องป้องกันกระเพาะอาหาร
ยาในกลุ่มห้ามเลือด ส่วนมากจะมีรสเปรี้ยวและฝาด วิ่งเข้าเส้นลมปราณตับ และหัวใจเป็นหลัก
เนื่องจากอวัยวะทั้งสองเกี่ยวข้องกับเลือด
ยากลุ่มนี้บางตัวยังแบ่งเป็นห้ามเลือดตอนบน ตอนกลาง ตอนล่าง ของร่างกาย การเลือกใช้ยาใน
กลุ่มนี้ต้องเปี้ยนเจิ้งก่อน เช่น เลือดออกอันเนื่องมาจากเลือดร้อน ต้องเลือกยาในกลุ่มที่มีฤทธิ์เย็น เช่น
หมู่ตันผี (Mu dan pi), เซิงตี้หวง (Sheng di huang) ยาตัวนี้สามารถทำให้เลือดเย็น และห้ามเลือดได้
กรณีเลือดคั่งเป็นเหตุให้เลือดออก ต้องเลือกยาที่มีสรรพคุณเพิ่มการไหลเวียนเลือด สลายเลือด
คั่งได้ ขณะเดียวกันก็ห้ามเลือดได้ด้วย ก็คือ ซันชี (Sanqi)
ถ้ารู้ว่าตำแหน่งเลือดออกนั้นอยู่ที่ใด เช่น ที่เส้นเลือดสมอง ก็สามารถเลือกยาที่เหมาะสมได้
เนื่องจากสาเหตุของเลือดออกและกลไกค่อนข้างซับซ้อน
ยาที่มีสรรพคุณเหมือนกัน เวลาใช้จริงต้องมีการจับคู่ยา(เพ่ยอู่)ก่อน เช่น กลุ่มอาการเลือดออกที่มี
สาเหตุจากไฟ จะมีอาการค่อนข้างรุนแรงทำให้เส้นเลือดแตก และมีเลือดออก นอกจากจะให้ยาในกลุ่ม
ช่วยให้เลือดเย็น และยาห้ามเลือดแล้ว ยังต้องให้ยาที่มีสรรพคุณระบายความร้อนค่อนข้างมากด้วย เช่น
สุ่ยหนิวเจี่ยว (Shui niu jiao) ถ้าใช้ร่วมกับ ต้าหวง (Dahuang) ซึ่งช่วยขับความร้อน และช่วยชักนำความ
ร้อนระบายออกเบื้องล่าง ไฟจึงจะลดลงได้เร็ว
ถ้าสาเหตุเลือดออกเกิดจากความเย็น หรือเย็นพร่อง นอกจากจะให้ยาห้ามเลือดแล้วต้องเลือกยาที่
มีฤทธิ์อุ่น เช่น กันเจียง (Ganjiang) หรือ เพ่าเจียง (Paojiang) เพื่อรักษาทั้ง “เปียว” และ “เปิ่น” พร้อมๆกัน
กรณีลมปราณม้ามพร่อง ไม่สามารถดูดรั้งเลือด ทำให้เลือดออก หรือหยางม้ามพร่อง ทำให้
เลือดออก ต้องเลือกยาบำรุงลมปราณและห้ามเลือด เช่น เหรินเซิน (Renshen), หวงฉี(Huangqi) ในกรณี
ลมปราณพร่อง หรือใช้ เพ่าเจียง (Paojiang), ฟู่จื่อ (Fuzi) ในกรณีหยางพร่อง
เนื่องจากยาที่มีสรรพคุณห้ามเลือด เมื่อใช้ในปริมาณมาก ๆ โดยเฉพาะยาในกลุ่มสมานห้ามเลือด
และกลุ่มทำให้เลือดเย็น สามารถทำให้เกิดเลือดคั่งได้อีก ดังนั้นเมื่อใช้ในปริมาณมากต้องให้ยาเพิ่มการ
ไหลเวียนสลายเลือดคั่งร่วมด้วย เช่น ตันเซิน (Danshen), หมู่ตันผี (Mu dan pi)
ซันชี (Sanqi)
ซันซี มีชื่อจีนแต้จิ๋วว่า ซาฉิก ใช้ส่วนรากตากแห้ง ยาที่คุณภาพดีที่สุดมาจากมณฑลยูนานและ
กวางสี ในประเทศจีน ขุดเก็บในช่วงฤดูร้อนหรือต้นฤดูใบไม้ร่วง หรือหลังจากเมล็ดแก่ในฤดูหนาว เมื่อ
ขจัดสิ่งปนเปื้อนออก แล้วล้างให้สะอาด ตากแดดให้แห้ง นำมาใช้เป็นยาได้เลย
ต้นซันชี (Sanqi) มีลักษณะเหมือนกับต้น เหรินเซิน (Renshen) หรือโสมคน
รส เผ็ดหวาน ฝาดเล็กน้อย ฤทธิ์ อุ่น (xin gan wei she wen)
กุยจิง (หมายถึง ทางเดินของยาเพื่อไปออกฤทธิ์ยา) เข้าเส้นลมปราณ ตับ และหัวใจ
สรรพคุณ
1. ห้ามเลือด
2. เพิ่มการไหลเวียนเลือด สลายเลือดคั่ง
3. แก้ปวด
จุดเด่นของซันซี
1. ห้ามเลือดได้โดยที่ไม่เกิดเลือดคั่ง
2. สลายเลือดคั่งได้ด้วย
การนำไปใช้
1. ห้ามเลือดได้ทั้งภายนอก และภายใน อาการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับจะใช้ซันซีก็คือ การมี
เลือดออกโดยมีลิ่มเลือด เลือดคั่ง และมีอาการปวดร่วมด้วย
ถ้าเลือดออกแล้วทำให้ปวด ใช้ซันซีเพียง ตัวเดียวก็เห็นผลแล้ว
ถ้าความร้อนทำให้เลือดออก ควรเพิ่มยาที่ทำให้เลือดเย็นเข้าไปด้วย
อาจใช้ซันซีร่วมกับยาในกลุ่มสมานห้ามเลือด (โซเลี่ยนจื๋อเสวี่ย) และอุ่นเส้นลมปราณห้ามเลือด
(เวินจิงจื๋อเสวี่ย) เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเลือดคั่งจากการห้ามเลือดขึ้นก็ได้
2. ใช้กับการบาดเจ็บภายนอก ฟกช้ำดำเขียว ช้ำใน ซันชี เหมาะสำหรับใช้รักษาแผลฟกช้ำได้
เป็นอย่างดี เพราะจะไม่ทำให้เลือดออกซ้ำอีก ทั้งภายในและภายนอก
3. ใช้กับอาการปวดจากโรคเบาหวาน เนื่องจากของเสียที่ตกค้างอยู่มากในผู้ป่วย เบาหวานไม่ว่า
จะเป็นความร้อนชื้น หรือเลือดคั่งที่ทำให้มีอาการปวดเหมือนประสาทอักเสบ
4. ปัจจุบันมีการนำซันซีมาใช้รักษาโรคทางอายุรกรรม เช่นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่ทำให้
เจ็บหน้าอก และโรคหลอดเลือดตีบหรือแตกในสมอง
ซันชี ยังมีสรรพคุณ บำรุงเสริมกำลัง ชาวบ้านมักนำไปตุ๋นกับ เนื้อ ไก่ หมู ช่วยบำรุงลมปราณ
บำรุงเลือด เหมาะสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร หรือผู้ที่เจ็บป่วยมาเป็นเวลานานๆ ร่างกายพร่อง
สารสำคัญในซันชี ที่ช่วยบำรุงหัวใจจะคล้ายกับ เหรินเซินชาวจีนที่มีฐานะยังนิยมใช้ยา 3 ตัว
บำรุงร่างกายและป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ก็คือ ซันชี (Sanqi) , ซีหยางเซิน (Xi yang shen), ตงฉงเซี่ย
เฉ่า (Dong chong xia cao)การรักษาความดันโลหิตสูง

 ในระยะแรก ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมักจะมีความดันโลหิตสูงกว่าปกติชั่วคราว  จากกลไกของร่างกายที่จะช่วยให้มีเลือดไปเลี้ยงสมองดีขึ้น  การลดความดันโลหิตมากเกินไปหรือเร็วเกินไปจะมีผลทำให้สมองขาดเลือดอยู่แล้วเกิดการขาดเลือดมากขึ้น
แนวทางการรักษาเบื้องต้น
1.ไม่ควรให้ยาลดความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดที่มีความดันโลหิตสูงน้อยกว่า 220/120 mmHg. ยกเว้นผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว  กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน  ไตวายเฉียบพลัน  ภาวะสมองพิการจากความดันโลหิตสูง และพิจารณาเริ่มให้ยาลดความดันโลหิต หลังจากเกิดภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันประมาณ 1-4   สัปดาห์
2.กรณีผู้ป่วยได้รับยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งจะมีความเสี่ยงที่เกิดเลือดออกในสมองเพิ่มขึ้น ควนให้ยาลดความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 185/110 mmHg. ก่อนให้ยา  และควบคุมความดันโลหิตไม่เกิน 180/105 mmHg.สามารถหยุดยาทั้งหมดได้
3.ในผู้ป่วยที่มีประวัติความดันโลหิตสูงเดิมและเคยได้รับยามาก่อน  ถ้าความดันโลหิตสูงน้อยกว่า 220/120 mmHg.สามารถหยุดยาทั้งหมดได้  ยกเว้นกลุ่มที่รักษากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจเต้นผิดปกติ  พิจารณาให้ยาลดความดันโลหิตกลับไปใหม่


 การให้ยาต้านเกล็ดเลือด   

การให้ Aspirin ควรให้เร็วที่สุดในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลัน ภายในเวลา 48 ชั่วโมง หลังจากมีอาการ ขนาดของ Aspirin ที่แนะนำคือ 160-325 มก./วัน พบว่าสามารถลดอัตราการเกิดหลอดเลือดสมองขาดเลือดซ้ำและลดอัตราการที่อาจเกดขึ้นได้ใน 14 วันแรกได้ ยกเว้นผู้ป่วยที่มีสมองขาดเลือดบริเวณกว้าง สมองบวมมากหรือมีภาวะสมองเลื่อน ผู้ป่วยที่แพ้ยา  Aspirin อาจต้องพิจารณาให้ยาต้านเกล็ดตัวอื่นแทน ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาสลายลิ่มเลือดให้หลีกเลี่ยงการใช้ยา Aspirin ภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนผู้ป่วยที่มีสมองขาดเลือดบริเวณกว้างหลังอาการ 4-5 วัน หากไม่ภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการทางระบบประสาทแย่ลง  สมองหรือเลือดออกในสมอง อาจจะพิจารณาเริ่มให้ยานี้ได้
 การให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด

ในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสรุปว่าควรใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดในระยะเฉียบพลันหรือไม่ ยกเว้น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดในตำแหน่งการไหลเวียนด้านหลัง ทีเกิดขึ้นกับหลอดเลือดแดง Basilar ที่มักมีการก่อตัวของเลือด หากพ้นระยะอันตรายแล้วในกรณีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดที่เกิดจากลิ่มเลือด Emboli ที่มี  Arial Fibrillation
ผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจพิการ หรือผู้ป่วย ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม หรือผู้ป่วยที่ตรวจพบว่ามีภาวะเกิดลิ่มเลือดได้ง่าย
การรักษาภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง
สาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญของผู้ป่วยที่มีภาวะสมองขาดเลือดภายในสัปดาห์แรก คือ การเกิดสมองบวม  มีภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูงและมีการเลื่อนที่ของสมองไปกดลงบนก้าน สมองผู้ป่วยกลุ่มนี้มักเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะสมองขาดเลือดเป็นบริเวณกว้างใน ตำแหน่งที่เลี้ยงด้วยหลอดเลือด Middle cerebral artery

หรือขาดเลือดของส่วนสมอง Cerebellum ขนาดใหญ่ ผู้ป่วยที่มีภาวะสมองบวมจนเกิดภาวะความดันกะโหลกศีรษะสูง  จะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงกับคลื่นไส้อาเจียนมาก  ความรู้สึกตัวลดลง ความดันโลหิตสูง และหายใจช้าไม่สม่ำเสมอ
ยาที่ป้องกันไม่ให้เซลล์สมองตายจากการขาดเลือด
หลักฐานในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์จากการศึกษาที่ว่า Neuroprotective  agents ได้ประโยชน์ชัดเจนในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดสมองขาดเลือด

ที่มา

สมชาย   โตวณะบุตร.เรื่องโรคหลอดเลือดสมอง(อัมพฤกษ์-อัมพาต).สืบค้นจาก bhps://www.facebook.com/PNI.Bangkook/post5/261748027348260.เข้าถึงเมื่อ  20 พย. 2557

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น